"พิมพ์ข้อความแล้วส่งมาที่ 4221002 ครั้งละ 3 บาททั่วประเทศจ๊ะ"
•~~~~ยินดีต้อนเข้าสู่เว็บไซต์ อาหารเพื่อสุขภาพ โดย`นักศึกษา แผนกคอมพิวเตอร์ 3/1 เทคนิคพะเยา - ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา~~~~•

ลองเลือกดูโฆษณาที่ตรงตามความต้องการของคุณดูสิน๊ะคũ

<pสวัสดีปีใหม่จีน` เฮง เฮง เฮง
                 
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ เว็บไซต์อาหารเพื่อสุขภาพเมื่อคุณอยากจะดูแลสุขภาพของคุณให้แข็งแรง ไม่เป็นโรคก็ควรมาศึกษาเกี่ยวกับอาหาร บ้านเรากันน๊ะครับ เพราะอาหารของไทยเรานั้น มีมากมายล้วนแต่จะแตกต่างกันออกไป เว้นแต่คุณจะเลือกที่จะทานแบบไหนเมื่อคุณเข้ามาเว็บไซต์ของเราขึ้นชื่อว่าเว็บไซต์เพื่อสุขภาพก็ต้องดี ช่วยคุณได้แน่นอนคุณสามารถนำสูตรอาหารต่างๆที่เราสรรหามาให้คุณมากมายและให้คุณได้เลือกตามสไตท์ของคุณเองหลายๆ คนก็ว่า ยุ่งยากขี้เกรียจทำแต่คิดซิว่าสุขภาพของคุณ + ร่ายการของคุณที่จะดีขึ้น แข็งแรงขึ้น และต้องทำให้ได้.....ต่อจากนี้จะไม่ฝันอีกต่อไปเมื่อคุณได้ลองสร้างบทบาทในการรับประทานอาหารของคุณเอง...ลองศึกษาวิธีทำอาหารต่างๆมากมายกัน 
ขอบคุณทุกท่านที่ได้มาศึกษาสารพันอาหาร นานาชนิดครับ♥`

Custom Search

วันเสาร์ที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

>> ล้างพิษใน 1 วัน ที่คุณทำเองได้



คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย
หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า
1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้
2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด
3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้
4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป
5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป
วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว
อุปกรณ์
1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด
2. มะนาว 4 ลูก
3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน
วิธีทำ
1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน
2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ
3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้
กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง


>> 10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี


ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

>> แกงจืดตําลึง



เครื่องปรุง
1. ตําลึง50กรัม
2. เนื้อหมูสับ30กรัม
3. ซอสปรุงรส10กรัม
4. กระเทียม2กรัม
5. น้ำมันพืช5กรัม


วิธีทํา
1. ล้างเนื้อหมูและตําลึงให้สะอาด หมูสับให้ละเอียด ตําลึงเด็ดยอดออ่นเป็นช่อ
2. ต้มน้ำให้เดือด ใส่ซอสปรุงรส หมูสับ ตําลึง พอเดือด
3. เจียวกระเทียมให้เหลือง ใส่ลงในหม้อคนให้เข้ากัน


>> แกงจืดผักกาดขาว

เครื่องปรุง
1. ผักกาดขาว50กรัม
2. ปลาหมึกสด50กรัม
3. น้ำมันพืช5กรัม
4. น้ำปลา10กรัม
5. กระเทียม2กรัม

วิธีทํา
1. ผักกาดขาวล้างทีละใบ หั่นเป็นท่อนประมาณ1นิ้ว
2. ปลาหมึกสดลอกเยื่อบางๆดึงแผ่นใสและล้างปลาหมึกที่ดําให้สะอาดหั่นเป็นแว่นๆ
3. เจียวกระเทียมให้หอม
4. ตั้งน้ำใส่น้ำปลา พอน้ำเดือดใส่ผักกาด ปลาหมึกพอเดือดโรยกระเทียมเจียว


>> แกงจืดเต้าหู

เครื่องปรุง
1. เนื้อหมู20กรัม
2. เต้าหูขาว50กรัม
3. ต้นหอม5กรัม
4. ผักชี5กรัม
5. นําปลา12กรัม
6. นํามันพืช4กรัม
7. กระเทียมสับ2กรัม
8. พริกไทย0.3กรัม
9. เกลือ1กรัม

วิธีทํา
1. ล้างหมู ผักกาดขาวล้างทีละใบ เนื้อหมูสับละเอียด เห็ดหูหนู แช่นําตัดโคนแข็งออก
2. ตั้งนําให้เดือด เติมนําปลาใส่ผักกาดขาว เห็ดหูหนูพอนิ่มแล้วใส่หมูสับ


>> ขนมจีนน้ำยา

ส่วนผสม
1. พริกใหญ่แห้ง10หัว
2. หอมเล็กซอย1กรัม
3. กระเทียม20กลีบ
4. ตะไคร้หั่นฝอย1/4ถ้วยตวง
5. กระชายหั่นบางๆ30ราก
6. ปลาสําลีต้มเอาแต่เนื้อ400กรัม
7. กะทิ8ถ้วยตวง
8. มะพร้าว1ก.ก
9. นําปลา1/3ถ้วยตวง
10. เกลือ2ช้อนโต๊ะ
11. ขนมจีน1 1/2ก.ก
12. พริกป่น1ช้อนโต๊ะ
13. ไข่ต้ม3ฟอง


วิธีทํา
1.โขลกเครื่องแกงให้ละเอียด ตักขึ้นพักไว้ แล้วนําเนื้อปลาลงโขลกด้วย เสร็จแล้วพักไว้
2.ผัดเครื่องแกงกับกะทิให้ทั่ว พอกลิ่นหอมดี ใส่ปลาที่โขลกแล้วลงไป แล้วเติมกะทิที่เหลือลงไป ใส่นําปลาและเกลือคนให้ทั่วตั้งเคี่ยวไฟอ่อนๆ
3.เสริฟกับขนมจีน ผักต่างๆ พริกป่น ไข่ต้ม


>> ผัดคะน้า



เครื่องปรุง
1. คะน้า60กรัม
2. เนื้อหมู30กรัม
3. น้ำมันพืช7กรัม
4. เต้าเจียวดํา6กรัม
5. น้ำตาล3กรัม
6. กระเทียม2กรัม

วิธีทํา
1.ล้างคะน้าทีละใบหั่นแยกก้านและใบคะน้า
2.เนื้อหมูล้างหั่นชิ้นบาง กระเทียมปอกล้างสับละเอียด
3.เจียวกระเทียมให้หอมใส่เนื้อหมูกับเต้าเจียวลงผัด เติมนําตาลใส่ก้านคะน้าลงผัดก่อน เติมนําเล็กน้อย ตักใส่จาน


>> ข้าวผัดเบญจรงค์

เครื่องปรุง
1. ข้างสาร75กรัม
2. หมูเนื้อแดง30กรัม
3. ถั่วฝักยาว20กรัม
4. แครอท10กรัม
5. แตงกวา20กรัม
6. หอมใหญ่10กรัม
7. มะเขือเทศ20กรัม
8. กระเทียมสับ2กรัม
9. น้ำมันพืช15กรัม
10. น้ำปลา5กรัม
11. น้ำตาลทราย5กรัม
12. น้ำมะนาว5กรัม
13. พริกไทยป่น0.3กรัม
14. ไข่ไกหั่นฝอย20กรัม

วิธีทํา
1. ซาวข้าวเติมน้ำ 1.1/2เท่า นึ่งให้สุกแล้วยี่ใส่จานเตรียมไว้
2. ล้างหมูหั่นชิ้นบางพอประมาณ


>> ข้าวผัดสีม่วง



เครื่องปรุง
1. ข้าวสาร75กรัม
2. กุ้งแห้ง5กรัม
3. น้ำมันพืช20กรัม
4. กะปิ10กรัม
5. หอมแดงหั่นบาง8กรัม
6. มะนาว8กรัม
7. ไข่20กรัม
8. เนื้อหมู25กรัม
9. น้ำตาล10กรัม
10. น้ำปลา3กรัม
11. กระเทียม5กรัม

วิธีทํา
1. ซาวข้าวเติมนํา1/2เท่านึ่งสุกแล้วยี่ใส่จาน
2. นําข้าวที่ยี่แล้วมาคลุกกะปิให้เข้ากัน เจียวกระเทียมให้เหลืองแล้วนําข้าวลงผัดให้เข้ากัน
3. ตั้งกะทะใส่นํามันเล็กน้อย กรอกไข่ที่ตีจนเข้ากันบางบางพอไข่สุกม้นกลมห่นฝอย
4. เติมนํามันทอดกุ้งแห้งให้เหลืองกรอบ


>> ไข่สอดไส้

เครื่องปรุง
1. ไข่ไก่40กรัม
2. เนื้อหมู20กรัม
3. มะเขือเทศ20กรัม
4. หอมใหญ่3กรัม
5. น้ำปลา5กรัม
6. น้ำตาลมะพร้าว3กรัม

วิธีทํา
1. ไข่ล้างเปลือกสะอาดตีให้เข้ากัน
2. เนื้อหมูล้างสับละเอียด
3. มะเขือเทศ หอมใหญ่ ล้างซอยเล็กๆ
4. ตั้งกระทะใส่นํามัน ผัดหมู หอมใหญ่ มะเขือเทศ ใส่นําปลา นําตาล นํามันที่เหลือลอกไข่เป็นแผ่นใส่ไส้ตรงกลางพับริมทั้ง4ด้านเข้าหากัน<


>> แกงส้มผักรวม


เครื่องปรุง
1. ปลาช่อน40กรัม
2. ถั่วฝักยาว10กรัม
3. ผักกาดขาว120กรัม
4. ผักกระเฉด10กรัม
5. หน่อไม้20กรัม
6. พริกแห้ง1กรัม
7. หอมแดง4กรัม
8. กระเทียม2กรัม
9. กะปิ0.6กรัม
10. มะขามเปียก4กรัม
11. น้ำปลา10กรัม

วิธีทํา
1. นําปลาช่อนขอดเกล็ด ขูดเมือก ล้างให้สะอาด หั่นชิ้นหนา
2. ล้างผักทุกชนิดให้สะอาด
3. โขลกเครื่องแกง หรือใช้นําพริกสําเร็จรูปก็ได้ ประมาณ7-10กรัม
4. ตั้งนําให้เดือด ต้มปลาให้สุก ใส่นําปลา นําตาล นํามะขามเปียก นําพริกแกง แล้วใส่ผักลงไป


>> น้ำพริกอ่อง




ส่วนผสม
1. เนื้อหมูสับ30กรัม
2. พริกแห้ง1กรัม
3. กระเทียม4กรัม
4. กะปิ4กรัม
5. น้ำมันพืช10กรัม
6. น้ำปลา4กรัม
7. ถั่วฝักยาว25กรัม
8. แตงกวา50กรัม
9. น้ำตาล5กรัม


วิธีทํา
1. ล้างหมู มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว แตงกวา
2. เนื้อหมูสับละเอียด มะเขือเทศเด็ดทั้งผล
3. พริกแห้งแกะเม็ดแช่นํา ปอกหอมกระเทียม ล้างสะอาด แล้วตํากับกะปิให้ละเอียด
4. ผัดนําพริกให้หอม ปรุงรสด้วยนําปลา นําตาล รับประทานกับแตงกวาและถั่วฝักยาว


>> น้ำพริกอ่อง



ส่วนผสม
1. เนื้อหมูสับ30กรัม
2. พริกแห้ง1กรัม
3. กระเทียม4กรัม

4. กะปิ4กรัม
5. นํามันพืช10กรัม
6. นําปลา4กรัม
7. ถั่วฝักยาว25กรัม
8. แตงกวา50กรัม
9. นําตาล5กรัม


วิธีทํา
1. ล้างหมู มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว แตงกวา
2. เนื้อหมูสับละเอียด มะเขือเทศเด็ดทั้งผล
3. พริกแห้งแกะเม็ดแช่นํา ปอกหอมกระเทียม ล้างสะอาด แล้วตํากับกะปิให้ละเอียด
4. ผัดนําพริกให้หอม ปรุงรสด้วยนําปลา นําตาล รับประทานกับแตงกวาและถั่วฝักยาว

วันพุธที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

>> แกงขนุน





ขนุน เป็นพืชที่ชาวเหนือปลูกเป็นไม้มงคล ซึ่งคนโบราณเชื่อกันว่า "จะช่วยหนุนบารมี ทำให้มีเงินทอง
มีคนเกื้อหนุน และยังเป็นผลไม้พื้นบ้านที่ปลูกกินผลสุกอีกด้วย แกงขนุน เป็นอาหารเหนือ
ที่ใช้ขนุนอ่อน เป็นผักใส่เป็นเครื่องปรุงหลัก แกงขนุนเป็นแกงส้มชนิดหนึ่งที่มีน้ำแกงใสสีส้ม
ได้จากน้ำพริกแกง ภาษาเหนือ เรียกว่า "แกงป่าขนุน" และใส่ผักชนิดอื่น เช่น ใบชะพลู
ชะอม และมะเขือส้ม ซึ่งเป็นมะเขือเทศลูกเล็กคล้าย มะเขือพวง ทำให้แกงมีรสเปรี้ยว


เครื่องปรุง


1. อ่อน 1 ลูก

2. ชะพลู 9 ใบ
3. เนื้อส่วนสะโพก 100 กรัม
4. ซี่โครงหมู 200 กรัม มะเขือส้ม 1 ถ้วย
5. ชะอมเด็ดท่อนสั้น 1

6. น้ำ 4 ถ้วย
7. พริกแห้งเม็ดใหญ่ แกะเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด
8. หอมแดงซอย กระเทียมซอย อย่างละ 5 หัว

10. ข่าหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
11. เกลือป่น ปลาร้าสับ อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ทำน้ำพริกแกงโดยโขลกเครื่องแกงทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด
2. ทุบขนุนอ่อนให้นุ่มทั้งเปลือก ปอกเปลือกออกผ่าครึ่งลูกแล้วผ่าเอาแกนกลางออก หั่นเป็นชิ้นขนาด

พอดีคำ แช่ในน้ำที่ผสมน้ำมะนาวเพื่อไม่ให้ขนุนดำ
3. ล้างเนื้อหมู ซึ่โครงหมู หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ สับซึ่โครงหมูเป็นท่อนยาว 1 1/2 นิ้ว
4. ล้างใบชะพลู หั่นเป็นชิ้นประมาณ 3 ชิ้น ต่อ 1 ใบ
5. ใส่น้ำลงในหม้อ ตั้งไฟกลางพอเดือด ใส่ซึ่โครงหมูเนื้อหมูน้ำพริกแกง ที่โขลกคนให้

น้ำพริกแกงละลายทั่วพอเดือดอีกครั้ง จึงใส่ขนุนอ่อนลดไฟอ่อนเคี่ยวให้ขนุนสุกนุ่ม
ใส่มะเขือส้มบุบพอแตกเดือดอีกครั้งใส่ใบชะพลูชะอม ปิดไฟ
6.เสิร์ฟ พร้อมรับประทาน

สรรพคุณทางอาหาร
แกงขนุน เป็นอาหารขนานดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคอเรสเตอรอล ต่ำ เนื่องจาก แกงขนุน มีผักมากมาย
ที่ใช้ในการปรุงทั้ง ใบชะพลู มะเขือส้ม เป็นต้น ทำให้ผู้รับประทานได้รับสารอาหารในปริมาณที่เหมาะสม
กับความต้องการของร่างกาย นอกจากนี้ ยังได้รับโปรตีน จากหมูอีกด้วย ไม่เพียงแต่คุณค่าทางโภชนาการ
เท่านั้น แกงขนุน ยังนับได้ว่า เป็นแกงส้มที่อร่อยอีกชนิดหนึ่ง



>> อาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

อาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพนะจ๊ะ
10 ผลไม้ไทยมีสารต้านมะเร็ง
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้ เพื่อส่งเสริมสุขภาพ
(วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้ ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูง คือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต ผลไม้ทั้งหมดนี้มีสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย คือ แก้วมังกร มะขามเทศ มังคุด ลิ้นจี่ และสาลี่
ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูง คือ ฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เม็ด มะขามป้อม มะขามเทศ เงาะโรงเรียน ลูกพลับ สตรอเบอร์รี่ มะละกอสุก ส้มโอขาว แตงกวา และพุทราแอปเปิล
การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรก คือ ขนุนหนัง มะขามเทศ มะม่วงเขียวเสวยดิบ มะเขือเทศราชินี มะม่วงเขียวเสวยสุก มะม่วงน้ำดอกไม้สุก มะม่วงยายกล่ำ แก้วมังกรเนื้อสีชมพู สตอเบอร์รี่ และกล้วยไข่
ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของอาหารสารที่ช่วยกำจัด อนุมูลอิสระ ที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด

วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

>> แกงจืดเห็ด

เห็ด นำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทำแกงจีด ต้มยำ ผัดเห็ด ยำเห็ด ข้าวต้ม ฯลฯ เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น เห็ดหูหนู เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดเหล่านี้นับว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ มีประโยชน์ต่อร่างกาย เราเป็นอย่างมาก ธาตุอาหาร มีอยู่ในเห็ด โดยรวมแล้วก็จะมี สารอาหารประเภท วิตามินเอ วิตามินบี2 น้ำ โปรตีน ฯลฯ นอกจากนี้เห็ดยังมีคุณสมบัติป้องกันโรคกระดูกอ่อน ใช้บำรุงสำหรับคนมีโลหิตน้อย เป็นยาอายุวัฒนะ บรรเทาอาการไข้หวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้ แต่เห็ดนั้นก็ยังมีผลเสียคือ ถ้าเกิดกินเห็ดพิษเข้าไป ก็อาจจะต้องเสียชีวิตได้ และคนที่เป็นอีสุกอีใสก็ ห้ามกินเห็ดทุกชนิด ดังนั้นจึงควรเลือกกินเห็ดอย่างระวัง

ส่วนประกอบ
1.รากผักชี
2. กระเทียม
3. พริกไทย
4. แตงกวา
5. เห็ดหอม
6. หอมใหญ่
7. ซีอิ้วขาว
8. ตั้งฉ่าย
9. พุทธาจีน

วิธีทำ
1. นำ กระเทียม พริกไทย รากผักชี ไปผัดกับน้ำมันให้หอม ใส่ตั้งฉ่ายลงไป
2. ตักส่วนผสมที่ผัดไว้แล้วใส่หม้อ เติมน้ำร้อนพอประมาณ ใส่พุทธาจีน ที่คว้านเอาเมล็ดออก ต้มสักพักหนึ่ง
3. พอเดือด ใส่เห็ดหอมที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไป ถ้ามีเห็ดหูหนูดำก็ใส่ลงไปด้วย
4. นำหอมใหญ่ (หั่น 4 ส่วน) ใส่ลงไป พร้อมกับใส่แตงกวา
5. ชิมรสชาติและปรุงรสตามชอบ และรอให้น้ำเดือดจึงยกลง


คุณค่าทางอาหาร
*รากผักชี จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ถอนพิษ และบำรุงกระเพาะอาหาร
*กระเทียม บำรงกระเพาะอาหาร ระงับไอ ขจัดเสมหะ ป้องกันท้องอืด แก้โรคหลอดเลือดอุดตัน
*แตงกวา มีวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินดี แก้ร้อนใน รักษาอาการไอ ขับปัสสาวะ
*เห็ดหอม แก้อาเจียน ป้องกันโรดเลือดแข็งตัว แก้ขัดเบา แก้มะเร็งในกระเพาะอาหาร
*เห็ดหูหนูดำ ช่วยลดความดันโลหิต มีสารต้านมะเร็ง มีวิตามินช่วยในการดูดซึม
*พุทธาจีน แก้ผอมแห้งแรงน้อย แก้อาการนอนไม่หลับ แก้โลหิตจาง lde;¡ªÕ

>> สลัดผักสีทอง

ส่วนประกอบ
1. ผักกาดแก้ว
2. ผักกาดหอม
3. ใบคะน้า
4. ใบหยิก
5. พริกหวานเขียว,แดง และเหลือง
6. มะเขือม่วงลูกใหญ่
7. สับปะรด
8. เห็ดหอมสด
9. ซูกินี
10. หอมใหญ่
11. มะเขือเทศดอยคำเลือกห่ามๆ
12. แตงกวาญี่ปุ่น
13. เห็ดเป๋าฮื้อ
14. ซอสมะเขือเทศมายองเนสรสเปรี้ยว
15. แป้งทอดกรอบ
16.แป้งสาลี
17.สำหรับทอด

วิธีทำ
1. ผักกาดแก้ว ผักกาดหอม ใบคะน้า ใบหยิก ล้างนำเด็ดเป็นใบๆ ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ มะเขือม่วงหั่นเป็นแผ่นแช่นำผสมนำ
มะนาวเพื่อป้องกันการดำ พริกหวานเขียว,แดง และเหลืองหั่นเป็นแว่น ซูกินีหั่นเป็นแผ่นหอมใหญ่หั่นเป็นแว่นตามขวาง
มะเขือเทศดอยคำหั่นเป็นแว่นตามขวาง เห็ดหอมเลือกดอกกลางๆ เห็ดเป๋าฮื้อฉีกเป็นแผ่น
2. นำผักต่างๆ คลุกแป้งสาลีแห้งก่อนแล้วนำไปจุ่มในแป้งทอดกรอบที่ผสมไว้ค่อนข้างข้น แล้วนำไปทอดให้เหลืองกรอบ
ทอดผักทีละชิ้น วางให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานเสริร์ฟกับแตงกวาญี่ปุ่น สับปะรดซอสมะเขือเทศ และน้ำมายองเนส

คุณค่าทางอาหาร
เป็นอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ ต้านการเป็นโรคมะเร็งในปริมาณที่สูง และยังช่วยในการชำระร่างกายโดยการกำจัดสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย

>> ข้าวไข่เจียวหัวหอม


ส่วนประกอบ
1. ไข่ไก่ 2 ฟอง
2. หัวหอม 4 หัว
3. หมูบด
4. น้ำปลา และเครื่องปรุงรส
5. น้ำ

วิธีทำ
1. ตีไข่ไก่ผสมกับ หัวหอม , น้ำ ( 1ช้อนโต๊ะ ) , หมูบด
2. ใส่น้ำปลา และเครื่องปรุงรส
3. นำน้ำมันใส่กะทะตั้งไฟให้ร้อน ( โรยให้ทั่วกะทะ )
4. เทไข่ที่ผสมแล้วลงในกะทะที่ร้อนได้ที่
5. เอียงกะทะไปมาจนไข่กระจายเป็นวงกลม
6. เจียวจนไข่ด้านล่างกลายเป็นสีเหลืองน่ารับประทาน
7. กลับด้านไข่เจียวๆ จนอีกหน้ากลายเป็นสีเหลืองเช่นเดียวกัน
8. นำไปวางเคียงกับข้าวสุกกำลังกิน

คุณค่าทางอาหาร
การที่ได้รับประทานไข่เจียวหัวหอม จะทำให้ร่างกายเจริญเติบโตแข็งแรง จะมีประโยชน์มากต่อเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต
และมีประโยชน์ต่อผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน เพราะจะช่วยขับลม และช่วยให้หายใจสะดวกมีอายุยืนยาว

>> สลัดผลไม้ไขมันต่ำ


เห็นผลไม้สดฉ่ำสีสวยแล้วรู้สึกสดชื่นอย่าบอกใคร วันนี้ชวนมาเติมความสวยสดใสกับสลัดจานอร่อยที่อุดมด้วยวิตามิน A C E ซึ่งมีสารแอนตีออกซิแดนท์ ช่วยให้ไม่ร่วงโรยก่อนวัย สร้างภูมิคุ้มกันโรค แล้วยังดีต่อหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย กลัวจะสวยไม่พอ เลยแถมน้ำสลัดสุขภาพที่มีน้ำผึ้งเป็นนางเอกอีก 2 สูตร ให้ถูกใจคนรักสวยรักงามตัวจริงกันไปเลย ใครไม่อยากแก่เร็ว รับรองว่าวิตามินสดๆ จากเมนูนี้ช่วยให้ปิ๊งปั๊ง! ได้ทันอกทันใจค่ะ

ส่วนผสม
1. ส้มซันควิกแกะออกเป็นกลีบ 1 ผล
2. แอปเปิลเขียวหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 ผล
3. แอปเปิลแดงหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1 ผล
4. กีวีหั่นแนวขวาง 2 ผล
5. สตรอว์เบอร์รี่ผ่าซีก 4-5 ผล
6. องุ่นดำ 1 ช่อ
7. ถั่วลิสงคั่วบุบหยาบ 1/2 ถ้วย
8. ใบสะระแหน่ปริมาณตามชอบ

ผสมน้ำสลัดสูตรโยเกิร์ต
1. โยเกิร์ตรสธรรมชาติไขมันต่ำ 1/2 ถ้วย
2. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
3. มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือ 1 ช้อนชา

ส่วนผสมน้ำสลัดสูตรน้ำส้ม
1. น้ำส้มคั้น 1/4 ถ้วย
2. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
3. มะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
4. เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ล้างผลไม้ที่หั่นแล้วในน้ำเกลือ นำไปแช่เย็น
2. เลือกน้ำสลัดสูตรที่ชอบ ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน นำไปแช่เย็น
3. จัดผลไม้ใส่จาน ราดน้ำสลัดให้ทั่ว แล้วโรยถั่วลิสงและใบสะระแหน่

Tip..
*ผลไม้ที่นำมาทำสลัดควรให้ออกรสเปรี้ยวหน่อยจะอร่อย
*การแช่เย็นผลไม้ต่างๆและน้ำสลัด ทำให้สลัดอร่อยยิ่งขึ้น
*ใส่เกลือหรือมะนาวลงในน้ำแช่แอ๊ปเปิ้ล จะทำให้เนื้อแอ๊ปเปิ้ลไม่ดำ
*วิธีผ่าส้มให้เป็นกลีบ ให้ผ่าลงตามรอยแบ่งกลีบของส้ม แล้วดึงเยื่อกั้นระหว่างกลีบส้ม
ออก โดยค่อยๆลอกจากด้านในที่ติดกับแกนของลูกออกมา จะได้ส้มที่ไม่ช้ำ ไม่แหลก
*สำหรับน้ำสลัดสูตรโยเกิร์ต ค่อยๆเติมน้ำมะนาว แล้วชิมรส เพราะโยเกิร์ตมีรสเปรี้ยวอยู่แล้ว
*ใครขี้เกียจทำน้ำสลัด สามารถใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทนได้ แล้วโรยจมูกข้าวและงาดำกินเป็นอาหารเช้าได้เลย
*ถ้าชอบให้ออกรสเผ็ด ใส่พริกลงไปได้นิดหน่อย

วันอังคารที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๑

>> ลูกชิ้นแครอท



การที่จะให้เด็กๆ กินแครอทล้วนๆ เป็นเรื่องยากทีเดียว หรือแม้แต่ผู้ใหญ่บางคน ดังนั้น แต่ถ้าเราใช้เทคนิคการปรุงให้ดูคุ้นตาน่ารับประทาน เราก็จะได้รับประโยชน์จากผักชนิดนี้อย่างมาก เพราะการกินแครอทเป็นการช่วยลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคมะเร็งและรักษาโรคตาบอดตอนกลางคืนและยังมีผักชนิดต่าง ๆ อีก คือ ขิงสด แก้อาเจียน รักษาโรคหวัด หอมแดง ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แก้ไข้หวัด ปวดท้อง ท้องผูก งาขาว ช่วยระบายท้อง รักษาโรคโลหิตจาง ท้องผูก สับประรด แก้อาหารไม่ย่อย อาเจียน ท้องอืด ซึ่งอาหารจานนี้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายตามหลักของชีวจิต

เครื่องปรุง
1. แครอทปอกเปลือกบางๆ แล้วหั่นเป็นแว่นบางๆ 2 หัว
2. ขิงสดสับละเอียด 1 ช้อนชา1
3. หอมแดงสับละเอียด 2 หัว- น้ำมันงา
4. ไข่ 1 ฟอง ตีให้แตก
5. แป้งข้าวโพด 1 ถ้วย
6. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
7. พริกไทยป่น- งาขาว 1 ถ้วย
8. สับปะรดหั่นเป็นแว่น 1/2 ลูก
9. มะเขือเทศสีดาลูกเล็ก 20 ลูก

วิธีทำ
1. นำแครอทไปต้มในน้ำเดือดที่ผสมเกลือนิดหน่อย จนกระทั่งแครอทมีเนื้อนุ่ม ตักแครอทขึ้นแล้วบดให้ละเอียด
2. บีบน้ำขิงที่สับละเอียดผสมลงไปในแครอทที่บดแล้ว เติมหอมแดงที่สับละเอียด ใส่น้ำมันงานิดหน่อย พร้อมกับเทไข่ที่ตีไว้ลงไป คลุกเคล้าให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
3. ปั้นแครอทเป็นก้อนกลมๆ คลุกลูกชิ้นแครอทกับแป้งข้าวโพดและเมล็ดงา
4. ใส่น้ำมันงาลงกระทะ ตั้งไฟพอร้อนปานกลาง ใส่ลูกชิ้นแครอทลงทอดจนเหลือง ตักขึ้นวางบนกระดาษซับมัน
5. รอจนเย็นแล้วค่อยนำมาเสียบไม้สลับกับสับปะรดและมะเขือเทศ จัดเสิร์ฟพร้อมซอสพริกหรือน้ำจิ้มบ๊วยสำหรับเด็ก

>> ข้าวโอ๊ดนมสด



ข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่คนอังกฤษชอบรับประทาน ข้าวโอ๊ตมีโปรตีนและไขมันสูง เพราะยังมีจมูกข้าวอยู่ แต่ก็เกิดกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย ก่อนบรรจุกล่องขายจึงต้องนึ่งก่อน เวลาซื้อข้าวโอ๊ตมาปรุงจึงสุกง่าย
ข้าวโอ๊ตยังมีใยอาหารสูง ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ เมื่อนำมาปรุงกับนม กับผลไม้แห้งต่าง จึงได้อาหารเช้าปรุงง่าย ที่มีคุณค่าทางอาหารอยู่เต็มเปี่ยม

ส่วนผสม
1. ข้าวโอ๊ต 3/4 ถ้วย
2. นมสดพร่องมันเนย 1 ถ้วย
3. งาขาวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลทราย (ถ้าชอบหวาน) 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือเล็กน้อย
5. ผลไม้แห้ง เช่น กล้วยตาก ลูกพรุน ลูกเกด ตามชอบ


วิธีทำ
1. ผสมข้าวโอ๊ตกับนมในหม้อ ใส่ผลไม้แห้งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เหยาะเกลือเล็กน้อย2. นำหม้อขึ้นตั้งไฟอ่อน เขย่าเบาๆ พอข้นยกลง ตักใส่ชามเสิร์ฟ โรยงาขาวให้ทั่ว

>> แกงฟักทองใส่ใบแมงลัก

เครื่องปรุง
1. ฟักทองหั่นชิ้นพอคำ 1 ถ้วย
2. หมูสับ 1/4 ถ้วย
3. กุ้งสับ 2 ช้อนโต๊ะ
4. ปลาหมึกสับ 2 ช้อนโต๊ะ
5. แมงลักเด็ดเป็นใบ 1/2 ถ้วย
6. กระเทียมบุบ 2 กลีบ
7. พริกไทยป่น 1/8 ช้อนชา
8. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
9. น้ำปลา 21/2 ช้อนโต๊
10. น้ำซุป 2 ถ้วย

วิธีทำ
1. ผสมหมู กุ้ง ปลาหมึก ใส่พริกไทย ใส่น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ เคล้าให้เข้ากัน
2. ใส่น้ำซุปลงหม้อ ตั้งไฟให้เดือด ใส่กระเทียมบุบ ปั้นส่วนผสมข้อ 1 ใส่ ใส่ฟักทอง เดือดอีกครั้ง
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา พอฟักทองสุกเปื่อย ใส่ใบแมงลัก ปิดไฟ


เมื่อรับประทานแกงฟักทองเข้าไปแล้ว จะได้สารอาหารที่มีประโยชน์อย่างมากมาย ดังนี้
1. วิตามิน Aจากฟักทอง
2. โปรตีนจากเนื้อสัตว์
3. กระเทียม พริกไทย ซึ่ง 2 อย่างนี้ ช่วยในการขับลม และ ลดคลอเรสตอรอล
4. สารอาหารที่สำคัญและเป็นหลักของอาหารจานนี้ก็คือ ใบแมงลัก ซึ่งมี

คุณค่าทางอาหาร
แมงลัก เป็นพืชล้มลุก ไม้พุ่มเตี้ย ใบสีเขียวโต ปลายใบแหลมริมใบเป็นจักสีแดง ออกดอกเรื่อๆ ออกดอกเป็นช่อ เป็นชั้นๆ มีกลิ่นหอมฉุน ดอกสีขาวม่วง

ส่วนที่ใช้
1. ลำต้น
2. ใบ
3. เมล็ด

สรรพคุณ
ลำต้น ใช้ลำต้นสด นำมาต้มเอาน้ำดื่ม เป็นยาแก้ไอ ขับเหงื่อขับลม กระตุ้นและแก้ทางเดินโรคอาหาร ใบ ใช้ใบสด มาตำให้ละเอียดคั้นน้ำกิน เป็นยบยาแก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้โรคท้องร่วง หรือใช้กากใบที่ตำทาแก้โรคผิวหนังทุกชนิด เมล็ด ใช้เมล็ดแห้ง เมื่อนำมาแช่น้ำจะเกิดการพองตัว แล้วใช้กินเป็นยาระบาย ลดความอ้วน ช่วยดูดซึมน้ำตาลในเส้นเลือด ขับเหงื่อและช่วยเพิ่มปริมาณของอุจจาระให้เป็ยเมือกลื่นในลำไส้

>> กุ้งตะไคร้



ส่วนผสม ( สำหรับ 2 ที่ )
1. เนื้อกุ้งแกะเปลือกสับละเอียด 300 กรัม
2. ตะไคร้โขกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
3. กระเทียมโขลกละเอียด 1 ช้อนชา
4. หอมแดงซอยโขลกละเอียด 1 ช้อนชา
5. พริกไทยดำโขลกละเอียด 1/4 ช้อนชา
6. ซอสปรุงอาหาร 2 ช้อนชา
7. ซอสหอยนางลม 1 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
9. เกล็ดขนมปัง 1 ถ้วยตวง
10. ต้นตะไคร้หั่นท่อนขนาด 5 นิ้ว 8
11. ต้นน้ำมันพืช 2 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. ผสมเนื้อกุ้งกับตะไคร้ กระเทียม หอมแดง พริกไทยดำ นวดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสน้ำตาลทราย นวดจนเข้ากันดี
2. นำมาหุ้มต้นตะไคร้ ปั้นเป็นทรงกลม คลุกกันเกล็ดขนมปัง
3. นำลงทอดในน้ำมันพืชใช้ไฟปานกลาง จนสุกเหลือง ตักขึ้นรับประทานกับน้ำจิ้มและผักสดหรือเส้นหมี่ลวกตามชอบ

น้ำจิ้มและวิธีทำ
ผสม
1. น้ำส้ม100% 1/4 ถ้วยตวง
2. โยเกิร์ตไขมันต่ำรสธรรมชาติ 1 ถ้วยตวง
3. ตะไคร้สับละเอียด 1/4 ถ้วยตวง
4. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา คนให้เข้ากัน

สรรพคุณ
ตะไคร้ - ต้นตะไคร้ ใช้เป็นยาขับลม แก้เบื่ออาหาร ผมแตกปลาย โรคทางเดินปัสสาวะและนิ่ว

>> พาสต้าปลาแซลมอลน้ำผึ้งพริกไทยดำ


ส่วนผสม
1. ปลาแซลมอน
2. ผักชีไทยเด็ดเป็นใบ
3. งาขาว
4. ซอสถั่วเหลือง
5. น้ำมะนาว
6. แครอทขูดเป็นเส้นฝอย
7. ซูกินี (แตงกวาญี่ปุ่น) ขูดเป็นเส้นฝอย
8. ใบสะระแหน่
9. Basil (กระเพราป่า หรือใช้กระเพราธรรมดาแทนก็ได้)
10. น้ำผึ้ง
11. พาสต้าหรืออาหารเส้น อะไรก็ได้ตามใจชอบ
12. พริกไทยดำชนิดเม็ดนำมาบด

วิธีทำ
1. หั่นปลาเป็นชิ้นหนาพอประมาณ นวดด้วยน้ำผึ้งและพริกไทยดำ พอให้ซึมเข้าเนื้อปลา พักไว้
2. ลวกเส้นพาสต้า หรืออาหารเส้นอะไรก็ได้ตามชอบ จนสุก พักไว้
3. หั่น basil และใบสะระแหน่เป็นเส้นฝอย (ถ้าหั่นไว้นานจะดำ) ใส่ชาม ตามด้วยซูกินีแครอท และงาขาว
4. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว ซอสถั่วเหลือง และน้ำผึ้ง ให้ได้รสชาติตามชอบ เอาเส้นพาสต้าลงคลุก เสร็จแล้วนำไปแช่เย็น
5. ทอดปลาที่หมักไว้ในกระทะที่ใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย หากเป็นกระทะเทฟลอนไม่ต้องใช้น้ำมันเลย
6. ทอดแต่ละด้านนานประมาณ 1 นาที (ตรงกลางยังไม่สุกดี จึงจะอร่อยเพราะปลาแซลมอนสามารถรับประทานดิบๆได้)
7. เสิร์ฟขณะที่ปลายังร้อน และส่วนของเส้นเย็น โรยหน้าด้วยผักชีไทย แถมท้าย
8. หากเกรงว่าซูกินีและแครอทจะเหม็นเขียว ให้ลวกผ่านน้ำเดือดจัดโดยเร็ว แล้วใส่ลงในน้ำเย็นจัดทันที
สรรพคุณทางอาหาร
ปลาแซลมอน เป็นปลาทะเลลึกที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง ช่วยลดภาวะหัวใจวาย ป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าลดอาการอักเสบของข้อ และลดอาการหอบหืด รวมไปถึงการลดอาการปวดประจำเดือน และโรคครรภ์เป็นพิษคุณค่าทางอาหารดีขนาดนี้ไม่รับประทานไม่ได้แล้ว ใช่ไหมคะแต่อย่าลืมว่าชีวจิตเราแนะนำให้รับประทานปลาและอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เท่านั้นนะคะและไม่ควรขาดโอเมก้า-3 จากธัญพืชด้วย เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน เพราะมีโอเมก้า-3ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ร่างกายต้องการโอเมก้า-3 จากทั้งสองแหล่งในสัดส่วนที่สมดุลกันค่ะ

>> ต้มปลาสมุนไพร


อาหารสุขภาพสำหรับโรคหัวใจ คนเป็นโรค หัวใจต้องกินอาหารที่มีไขมันต่ำ รสไม่หวาน และเค็มจัด จึงควรใช้อาหารที่ทำด้วยปลา ถ้ากินปลา เป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้

เครื่องปรุง
1. ปลากะพงขาวขอดเกร็ด ควักไส้ออก หั่นเป็นท่อน 1 นิ้ว 1 ตัว
2. น้ำเปล่า 2 ถ้วย
3. หัวหอมบุบพอแตก 5 หัว
4. กระเทียมบุบพอแตก(กระเทียมโทน) 6 หัว
5. ใบกะเพราเด็ดเป็นใบ ๆ 1/2 ถ้วย
6. ข่าหั่นแว่น 2 แว่น
7. ผักชีฝรั่งหั่นเป็นท่อนสั้น ๆ 1 ต้น
8. พริกขี้หนูทอด 6 เม็ด
9. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
10. น้ำปลา 1 ช้อนชา
11. น้ำมะขามเปียก

วิธีทำ

1. ตั้งน้ำให้เดือด ใส่หัวหอม กระเทียม ตั้งไฟกลาง พอเดือดทั่ว
2. ใส่ปลา ใส่พริกขี้หนูทอด ปรุงรสด้วย น้ำมะขามเปียก น้ำปลา
3. ใส่ใบกะเพรา ผักชีฝรั่ง ปรุงรสด้วยน้ำมะนาวอีกครั้ง

>> เต้าหู้ทอดตะไคร้ใบสะระแหน่


เครื่องปรุงสำหรับเต้าหู้ทอด
1. เต้าหู้ขาวชนิดอ่อน (2 แพ็ค) 600 กรัม
2. เกลือ 1 ช้อนชา
3. พริกไทยเม็ดขาว 1 ช้อนชา
4. แป้งข้าวโพด 1 ถ้วยตวง
5. น้ำมันมะกอกสำหรับทอด

วิธีทำเต้าหู้ทอด
1. หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นขาว ชิ้นละ 3 ซม. ล้างแล้ววางบนกระดาษซับน้ำให้แห้งสักพัก
2. ตั้งกระทะให้ร้อน ใช้ไฟปานกลาง ใส่เกลือและเม็ดพริกไทยขาววางลงไปคั่ว ประมาณ 5 นาทีหรือจนกลายเป็นสีน้ำตาล เพื่อให้มีกลิ่นหอมมากขึ้นตักขึ้น พักไว้ให้เย็นนำไปปั่นหรือตำให้ละเอียด
3. ใส่น้ำมันมะกอกในกระทะ กะปริมาณให้ท่วมชิ้นเต้าหู้รอให้ร้อนจัด
4. นำเต้าหู้ที่ได้มาแล้วคลุกกับแป้งข้าวโพด ให้แป้งจับเต้าหู้เพียงบาง แล้วนำ ลงทอดจนเต้าหู้สุกเป็นสีน้ำตาลตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมันให้แห้ง
5. นำเต้าหู้ทอดใส่ชามใหญ่โรยเกลือและพริกไทยที่บดไว้ให้ทั่วราดหน้าด้วยน้ำตะไคร้ใบสะระแหน่ก่อนเสิร์ฟ

เครื่องปรุงสำหรับน้ำราดตะไคร้ ใบสะระแหน่
1. กระเทียมสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
2. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
3. ตะไคร้หั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ
4. พริกชี้ฟ้าเม็ดใหญ่ซอยเป็นเส้น 1 เม็ด
5. ใบสะระแหน่สับละเอียด 1/4 ถ้วย
6. น้ำตาลปี๊ป 3 ช้อนชา
7. น้ำมันมะกอก 2 1/2 ช้อนโต๊ะ
8. เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำน้ำราดตะไคร้ ใบสะระแหน่
1. ใส่กระเทียมสับ น้ำมะนาว ตะไคร้หั่น พริกชี้ฟ้าหั่น ใบสะระแหน่และน้ำตาลปี๊ปลงในชามแล้วคลุกให้เข้ากัน 2. เทน้ำมันมะกอกลงในกระทะตั้งไฟให้ร้อนจัดแล้วราดน้ำมันลง ในชามส่วนผสมที่คลุกให้เข้ากันพักไว้สำหรับราดเต้าหู้

สรรพคุณทางอาหาร
อาหารชนิดนี้มีคุณค่าต่อร่างกายเนื่องจากมีส่วนผสมจากพืชสมุนไพร คือ ตะไคร้ ช่วยขับลม ใบสะระแหน่ช่วยแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ

>> ยำใบบัวบก


วิธีทำ
1. ผสมหมู กุ้ง กับน้ำยำเข้าด้วยกัน ใส่ใบบัวบกเคล้าเบาๆ
2. ใส่ถั่วลืสงเคล้าพอเข้ากัน ตักใส่จาน
3. โรยด้วยพริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย หอมเจียว

เครื่องปรุง
1. ใบบัวบกล้างหั่นฝอย 1 1/2 ถ้วย (200 กรัม)
2. เนื้อกุ้งนึ่งหั่นบางๆ 1/4 ถ้วย (50 กรัม)
3. ถั่วลิสงคั่วโขลกพอแตก 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
4. หอมแดงเจียว 2 ช้อนโต๊ะ (20 กรัม)
5. เนื้อหมูนึ่งหั่นบางๆ 1/4 ถ้วย (50 กรัม)
6. มะพร้าวขูดคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
7. พริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย 1 เม็ดเล็ก (5 กรัม)

น้ำปรุงน้ำยำ
1. พริกแห้งเผาหรือคั่วโขลกละเอียด2 ช้อนชา (10 กรัม)
2. กระเทียมเผาหรือคั่วโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
3. น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
4. น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
5. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)

คุณค่าทางโภชนาการ (สำหรับ 1 คน)
พลังงาน 107.06 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 9.49 กรัม
โปรตีน 7.13 กรัม
แคลเซียม 87.81 มิลลิกรัม
ไขมัน 4.81 กรัม
ฟอสฟอรัส 98.66 มิลลิกรัม

คุณค่าทางยาและสมุนไพร
แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ

คุณค่าทางภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรม
ใบบัวบกมีรสเผ็ด ขม และมัน เมื่อมาผสมกับน้ำยำ 4 รส ทำให้รสชาติของใบบัวบกดีขึ้น

>> ผัดผักรวมกับงาขาว



เครื่องปรุง
1. กุ้งแชบ๊วยหั่นชิ้น 100 กรัม
2. เห็ดฟาง 5 ดอก
3. กะหล่ำปลี 1/4 หัว
4. ผักไผ่หั่นหยาบ 1/2 ถ้วย
5. งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
6. พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 3 เม็ด
7. กระเทียมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
8. หอมแดงซอย 3 หัว
9. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
10. น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนชา
11. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
12. น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ล้องเห็ดฟาง กะหล่ำปลี เฉือนเอาโคนที่สกปรกของเห็ดฟางออก หั่นเป็นชิ้นบางตามยาว กะหล่ำปลีหั่นหยาบๆ
2. ต้มน้ำให้เดือด ลวกเห็ดฟางและกะหล่ำปลีพอสุก ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ พักไว้
3. โขลกพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง เกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ผัดกับน้ำมันมะกอกให้หอม ปรุงรสด้วยน้ำตาล
4. ใส่เนื้อกุ้ง ผัดพอกุ้งสุก ยกลง ใส่น้ำมะนาว เคลาให้เข้ากันเป็นน้ำยำ
5. เมื่อจะรับประทาน ใส่ผักลวกลงในอ่างผสม ใส่ผักไผ่และน้ำยา เคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน ตักใส่จาน โรงงาขาว เสิร์ฟ

คุณค่าทางอาหาร
งา เมล็ดพืชเล็กจิ๋วที่อุดมไปด้วยสารอาหาร มี 2 แบบ คือ งาดำ และงาขาว นอกจากนี้ยังมีน้ำมันงาที่ใช้ปรุงอาหารได้ดี เพราะมีกลิ่นหอมและกรดไขมันที่มีประโยชน์ สารอาหารที่มีอยู่ในเมล็ดงาล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น เช่น โปรตีนในงามีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย คือ กรดอะมิโนเมธิโอนีน ในถั่วเหลืองมีกรดอะมิโนที่จำเป็นตัวนี้น้อย ชาวมังสวิรัติจึงใส่งาลงไปในอาหารถั่วเหลืองที่ปรุง เพื่อให้มีสารโปรตีนสมบูรณ์มากขึ้น
ในเมล็ดงามีน้ำมันมาก จึงสกัดออกมาเป็นน้ำมันงาที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยม คือ มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 กรดไขมันโอเมก้า 6 ที่มีคุณสมบัติช่วยลดคลอเลสเตอรอล จึงช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ ทำให้ระบบหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิค ซึ่งช่วยทำให้ผมดกดำ บำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น งายังมีวิตามันและแร่ธาตุที่สำคัญโดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า มีธาตุเหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และทองแดง อีกทั้งยังมากด้วยวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งดีต่อระบบประสาท ช่วยทำให้นอนหลับ ร่างกายกระฉับกระเฉง พร้อมกันนั้นยังมีสารบำรุงประสาทด้วย และวิตามินอีเป็นตัวแอนติออกซิเจนแดนท์ที่ช่วยต้านมะเร็ง เลือกซื้อเมล็ดงาดำและงาขาวที่สะอาด ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน เมื่อซึ้อมาแล้วให้เก็บใส่ขวด ปิดฝา เมื่อจะใช้ให้คั่วในปริมาณที่พอใช้ เท่านั้น เพราะถ้าคั่วทิ้งไว้กลิ่นจะไม่หอมและเหม็นหืน

>> กุ้งกระเทียมผัดพริกขี้หนู


พริกขี้หนู เป็นพริกเม็ดเล็กๆ แต่เวลานำเอามาปรุงเป็นอาหาร จะมีรสชาติและกลิ่นหอมมากกว่าพริกเม็ดใหญ่ๆ ยิ่งเม็ดเล็กก็ยิ่งมีรสและกลิ่นมากขึ้น จึงกลายมาเป็นคำเปรียบเทียบว่าถึงเล็กก็เล็กพริกขี้หนู ยิ่งเอามาผัดคู่กับกระเทียมด้วยแล้ว กลิ่นรสยิ่งชวนชิมมากขึ้นอาหารที่กินคู่กับข้าวกล้องวันนี้ก็เลยเป็นกุ้งกระเทียมผัดพริกขี้หนู

ส่วนผสม
1. กุ้งชีแฮ้ย่างไฟพอสุก 2 ขีด
2. เห็ดหอมสด 1 ขีด
3. กระเทียมบุบพอแตก 10 กลีบ
4. พริกขี้หนูบุบพอแตก 10 เม็ด
5. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนชา
7. น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
8. น้ำมันสำหรับผัด 2 ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ
1. แกะเปลือกกุ้งที่ย่างแล้ว ฉีกเป็นชิ้นพอคำ แล้วพักไว้ เห็ดหอมสดผ่าครึ่ง ล้างให้สะอาด 2. เจียวกระเทียมและพริกขี้หนูในน้ำมันพอหอม ใส่กุ้งและเห็ดหอมลงผัดเติมน้ำปลาและน้ำตาลทรายแดง เติมน้ำเปล่า ลงผัดให้เข้ากัน คนอีกครั้ง ตักขึ้นใส่จานกินกับข้าวกล้องร้อนๆ

กุ้งผัดกระเทียมจานนี้จะมีกลิ่นหอมมากกว่าธรรมดา เพราะว่าเราใช้กุ้งย่างแทนกุ้งสด

สรรพคุณทางอาหาร
กระเทียม - ช่วยลดคอเลสเตอรอล ฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
พริกขี้หนู - มีสารเบต้าแคโรทีน ช่วยขับเหงื่อ ปัสสาวะ เจริญอาหาร ทำให้หลอดเลือดอ่อนตัวช่วยป้องกันโรคหัวใจ เลือดไหลหมุนเวียนดี ลดความดันเลือด
เห็ดหอม - สามารถยับยั้งโรคมะเร็ง
กุ้ง - เพิ่มน้ำนม
ข้าวกล้อง - มีวิตามินบี 1 บี 2 ป้องกันเหน็บชา

>> สลัดน้ำใส



ส่วนประกอบ
1. เห็ดหอมสด
2. มะเขือเทศสีดา
3. ผักกรีนโอ๊ค
4. เรดโอ๊ค
5. ขนมปังกรอบ

เครื่องปรุงน้ำสลัด
1. น้ำส้มสายชู
2. น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี
3. พริกไทยดำป่น
4. น้ำมันมะกอกเล็กน้อย

วิธีทำ
1. ผสมเครื่องปรุงน้ำสลัดทั้งหมดเข้าด้วยกัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น ยกขึ้นตั้งไฟพอให้น้ำตาลละลาย
2. เวลารับประทานตักน้ำสลัดคลุกเคล้ากับผักสดตามชอบ เช่น กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค มะเขือเทศสีดาและเห็ดหอมสดซึ่งลวกน้ำร้อน หรือผัดน้ำมันมะกอกพอสุก โรยหน้าด้วยขนมปังกรอบ

คุณค่าทางอาหาร

สลัดจานนี้แม้จะดูเป็นอาหารเบาๆท้อง แต่คุณค่าอาหารเพียบพร้อมเชียวนะ เริ่มตั้งแต่ ผักกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค และมะเขือเทศสีดาที่อุดมด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ไกลจากโรคมะเร็งและหลอดเลือด ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และบำรุงสายตา และธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง เห็ดหอมสด ซึ่งแคลอรี่น้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูง ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันเลือด และซิลิเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็งอีกด้วย น้ำมันมะกอกนอกจากจะช่วยให้สลัดจานนี้มีกลิ่นรสชวนกินแล้ว ที่สำคัญยังมีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากที่สุด
(77 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดเลว และเป็นแหล่งพลังงานที่ดีพอๆกับไขมันอิ่มตัว เรียกว่าให้พลังงานเต็มที่แต่ไม่ทำร้ายหัวใจคนกิน

>> มะระขี้นกผักไข่



เครื่องปรุง
1. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
2. ไข่ไก่ 22 ฟอง
3. มะระขี้นก 15 ลูก
4. กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
5. กระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
6. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
7. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ล้างมะระ ผ่าครึ่งเอาเมล็ดออกหั่นบางๆ แช่ในน้ำเกลือ (น้ำ 2 ถ้วยผสมเกลือป่น 2 ช้อนชา) เพื่อให้คลายขม เอาขึ้น บีบน้ำออกให้หมด
2. ใส่น้ำมันลงในกระทะ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่กระเทียม เจียวพอหอม ใส่มะระ ผัดพอมะระสุก กันไว้ข้างกระทะ
3. ใส่น้ำมันที่เหลือในกระทะ ต่อยไข่ใส่ชาม คนพอไข่แตก เทใส่ในกระทะ เจียวพอไข่สุก คนมะระกับไข่เข้าด้วยกัน โรยด้วยพริกไทยและเกลือ ตักใส่จาน

คุณค่าทางอาหาร
มะระขี้นก มะระเป็นผักที่มีการรายงานค่อนข้างชัดเจนฉะนั้นมะระจึงเป็้นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ช่วยลดน้ำตาล ในเลือด เพราะในมะระขี้นกมีสารคล้ายอินซูลินซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของอินซูลินและลดการดูดซึมน้ำตาลไดั

>> มะระขี้นกผัดไข่

มะระขี้นกผัดไข่
เครื่องปรุง

1. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

2. ไข่ไก่ 22 ฟอง
3. มะระขี้นก 15 ลูก

4. กระเทียมสับ 2 ช้อน

5. โต๊ะกระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ

6. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

7. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

1. ล้างมะระ ผ่าครึ่งเอาเมล็ดออกหั่นบางๆ แช่ในน้ำเกลือ (น้ำ 2 ถ้วยผสมเกลือป่น 2 ช้อนชา) เพื่อให้คลายขม เอาขึ้น บีบน้ำออกให้หมด
2. ใส่น้ำมันลงในกระทะ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่กระเทียม เจียวพอหอม ใส่มะระ ผัดพอมะระสุก กันไว้ข้างกระทะ
3. ใส่น้ำมันที่เหลือในกระทะ ต่อยไข่ใส่ชาม คนพอไข่แตก เทใส่ในกระทะ เจียวพอไข่สุก คนมะระกับไข่เข้าด้วยกัน โรยด้วยพริกไทยและเกลือ ตักใส่จาน
คุณค่าทางอาหาร
มะระขี้นก มะระเป็นผักที่มีการรายงานค่อนข้างชัดเจนฉะนั้นมะระจึงเป็้นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ช่วยลดน้ำตาล ในเลือด เพราะในมะระขี้นกมีสารคล้ายอินซูลินซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของอินซูลินและลดการดูดซึมน้ำตาลไดั